หลังไม่ยอมพบปะกับรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ “ทรัมป์” ขู่ระงับเงินช่วยเหลือปาเลสไตน์

Trump-go

ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมพ์กล่าวว่า อเมริกาจะตัดการระดมทุนช่วยเหลือของชาวปาเลสไตน์ให้หมดไป หากไม่ยอมทำข้อตกลงสันติภาพกับทางอิสราเอลให้ในเร็ววัน โดยคำขู่นี้เกิดขึ้นระหว่างการประชุมกับประธานาธิบดีเบนจามิน นาทานนาฮู ในเมืองเดวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยกล่าวว่า “เงินช่วยเหลือวางอยู่บนโต๊ะแล้ว และมันจะไม่ไปไหนจนกว่าพวกเขาจะนั่งคุยกันดี ๆ เพื่อสร้างสันติภาพระหว่างกัน” โดยโดนัลด์ทรัมพ์ยังบอกอีกว่า “อิสราเอลนั้นอยากที่จะเจรจาสันติด้วย และพวกเขาจะต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรพวกเขาอีกต่อไป”

จากคำประกาศดังกล่าวของโดนัลด์ทรัมพ์ ทำให้จำนวนเงินกว่า 65 ล้านเหรียญที่เตรียมจะถูกส่งไปช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ถูกระงับไว้ชั่วคราว แต่จำนวนเงิน 60 ล้านเหรียญยังคงถูกส่งไปยังสหประชาชาติ เพื่อให้ดำเนินกิจการได้ต่อไป นอกจากนี้การตัดงบยังรวมไปถึงการช่วยเหลือทางด้านเสบียงอาหาร การบริการต่าง ๆ ด้านสุขภาพ บริการด้านการศึกษาในฝั่งตะวันตก, เลบานอน, จอร์แดนและซีเรีย ต่อมา นิกกี เฮลีย์ ได้เดินทางไปที่สหประชาชาติในฐานะทูตสหรัฐฯ โดยได้กล่าวว่า “สหรัฐต้องการที่จะช่วยเหลือทั้งอิสราเอล และปาเลสไตน์บรรลุข้อตกลงในการสร้างสนิติภาพ แต่เราจะไม่ไล่ตามความเป็นผู้นำของปาเลสไตน์ซึ่งขาดสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้เกิดสันติภาพ เราต้องการผู้นำที่กล้าพอที่จะลงมือทำอะไรที่ยิ่งใหญ่”

โดยทางสหรัฐเปิดฉากด้วยการย้ายสถานทูตจาก Tel Aviv ไปยังกรุงเยรูซาเล็มในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อปราเลสไตน์ ส่วนทางปาเลสไตน์ก็ออกมาตอบโต้ว่าจะไม่สนใจเงินช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา โดยสัปดาห์ก่อนหน้าที่ผู้นำของพวกเขาก็ปฎิเสธที่จะพบกับรองประธานาธิบดีไมค์ เพ็นซ์ ในขณะที่เขาเดินทางมาเยือนภูมิภาคเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และการมาเยือนครั้งนี้ก็ไม่ได้มีผู้ใดมาต้อนรับ โดยเฉพาะผู้นำปาเลสไตน์

ในขณะที่เพ็นซ์กำลังไปเยือนกับเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล นายมามุด อับบาสก็เดินทางไปที่บรัสเซลล์ เพื่อขอให้ 28 ประเทศของสหภาพยุโรปยอมรับพวกเขาในฐานะรัฐปาเลสไตน์ คำขอดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านสิ่งที่อเมริกันและอิสราเอลคิดว่ารัฐปาเลสไตน์ สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกเขา ในส่วนของทางอิสราเอลนั้นก็กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมพ์ โดยบอกว่าชาวอิสราเอลจะจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นไปอีกแสนนาน โดยได้กล่าวไว้ดังนี้ “นี่เป็นการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของประชาชนเราตลอดหลายชั่วอายุคน” และยังบอกต่ออีกว่า “ผู้คนบอกว่านี่เป็นการผลักดันให้ออกห่างจากคำว่าสันติสุข แต่ผมคิดว่าสิ่งนี้หละ ที่จะทำให้เราหาสันติระหว่างกันได้”