ช่วงตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมาประเทศกาตาร์ได้พบกับการตัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบฟ้าผ่า เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2017 โดยประเทศประกาศตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์มีทั้งหมดหลัก ๆ 5 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มอริเตเนีย อียิปต์ ส่งผลให้มีการเรียกตัวเหล่าเอกอัครราชทูตของแต่ละประเทศประจำอยู่ในกาตาร์กลับทั้งหมด รวมไปถึงแบนไม่ให้เดินทางเข้า และตัดขาดเส้นทางค้าขายทั้งหมด จากการที่ประเทศกาตาร์มีส่วนร่วมในการสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายระดับโลก รวมถึงการทำผิดข้อบังคับสำคัญสนธิสัญญาระหว่างประเทศสมาชิก หรือ Gulf Cooperation Council (GCC) 2014
วันที่ 27 กรกฎาคม ปี 2017 นาย Mohammed bin Abdulrahman Al Thaniรั ฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของกาตาร์ต้าได้ออกมาบอกนักข่าวว่าอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรนต่างคว่ำบาตรกาตาร์ และพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นมาเลย จากนั้นไม่นานเขาก็ได้ประกาศว่าจะสร้างความสัมพันธ์กับอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของเยอรมัน Sigmar Gabriel ออกมากล่าวสนับสนุนกาตาร์ อีกทั้งยังพูดกล่าวหาประธานาธิบดี Donald Trump ที่ดูมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่อินโดนีเซียได้รับความเสียหายอย่างมากจากการตัดความสัมพันธ์ของชาติอาหรับต่อประเทศกาตาร์ วันที่ 10 มิถุนายน 2017 นายกรัฐมนตรี Joko Widodo ได้ส่งจดหมายเชิญนายกรัฐมนตรีประเทศตุรกี และการตาร์ มาประชุมเพื่อหาทางออกของปัญหานี้ร่วมกัน เพราะอินโดถือเป็นชาติอิสลามเช่นเดียวกันอีกทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ยังเกิดในเดือนรอมฎอน
กาตาร์ถูกใช้เป็นฐานทัพอากาศของสหรัฐมีทหารประจำการอยู่ 10,000 นาย ใน Al Udeid Airbase ถูกใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการแนวหน้าที่สหรัฐฯ ใช้โจมตีทางอากาศกับซีเรีย อิรักและอัฟกานิสถานโฆษกประจำเพนตากอน ออกมากล่าวถูกวิกฤตที่เกิดขึ้นว่าจะไม่ส่งผลต่อเกิดความเคลื่อนไหวใดๆ ทางการทหารในกาตาร์ ซึ่งทางประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐฯ ที่เสนอตัวเป็นสื่อกลางให้กับทุกคน แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี จนทำให้สหรัฐฯพูดย้ำเตือนการกระทำของกาตาร์ที่มีส่วนในการสนับสนุนการก่อการร้ายระดับโลก ว่าพวกเขาไม่อยู่ในสิทธิที่ต่อรองอะไรได้มากนัก